กฎแห่งเอกภพ (THE LAWS OF THE UNIVERSE)
ดวงจันทร์หมุนรอบตัวเองและโคจรรอบโลกที่หมุนรอบตัวเองและโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์อีกต่อหนึ่ง ปรากฎการณ์นี้อธิบายได้ด้วยกฎแห่งความโน้มถ่วง (The law of gravity) สำหรับข้อเท็จจริงที่ว่าดาวฤกษ์ที่มีอยู่ในกาแล็กซี่ต่างก็อยู่ในภาวะดึงดูดซึ่งกันและกัน และที่ว่าดาวหางต่างก็โคจรไปในเอกภพเหมือนวิถีกระสุนนั้นเราสามารถคำนวณได้ ส่วนเทห์ฟากฟ้าทั้งมวลต่างก็เคลื่อนที่ไปในอวกาศตามกฎแห่งกลศาสตร์ฟากฟ้า (The law of celestial mechanics)
กฎของเคปเลอร์ (KEPLER'S LAWS)
คนโบราณเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของเอกภพ ดังนั้นเทห์ฟากฟ้าทั้งหมดก็ต้องหมุนรอบตัวเองไปรอบโลก โคเปอร์นิคัส เป็นผู้เลิกล้มความเชื่อทางดาราศาสตร์นี้ลงไปได้อย่างสิ้นเชิงในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ด้วยการประกาศว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของเอกภพโดยมีดาวนพเคราะห์ทุกดวงซึ่งรวมทั้งโลกด้วยนั้นต่างโคจรรอบดวงอาทิตย์อีกต่อหนึ่ง แต่เขาก็ไม่อาจจะอธิบายได้ว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เคปเลอร์ ก็เป็นผู้อธิบายได้ว่าการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ดังกล่าวนั้นเป็นอย่างไร และหลังจากที่ได้สังเกตการณ์และคำนวณแล้วหลายครั้งเขาก็ประกาศว่าดาวเคราะห์ทุกดวงหมุนรอบตัวเองและมีวงโคจรเป็นวงรีอย่างรูปไข่ (elliptical orbit) รอบดวงอาทิตย์ โดยเขาได้ตั้งกฎขึ้นมา 3 ข้อ สำหรับอธิบายลักษณะของการโคจรดังกล่าว
กฎข้อที่ 1 ดาวเคราะห์แต่ละดวงโคจรไปตามวงโคจรที่เป็นวงรีอย่างรูปไข่ โดยมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางร่วมของวงโคจร
กฎข้อที่ 2 ยิ่งเคลื่อนที่ตามวงโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ดวงเคราะห์ดวงนั้น ๆ ก็จะยิ่งมีความเร็วเพิ่มขึ้น
กฎข้อที่ 3 ดาวเคราะห์ใดอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากกว่า ดาวเคราะห์ดวงนั้นก็จะยิ่งหมุนรอบตัวเองเร็วขึ้น
กฎแห่งความถ่วง (THE LAW OF GRAVITY)
ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 นิวตัน ได้อธิบายว่าเหตุใดดาวเคราะห์จึงหมุนรอบตัวเองและโคจรรอบดวงอาทิตย์ตามวงโคจรที่เป็นวงรีอย่างรูปไข่ และนิวตัวอีกเช่นกันที่ได้กล่าวว่าที่ผลแอปเปิ้ลตกลงสู่พื้นดินก็เพราะอำนาจของความถ่วง (gravity) ภายในโลกที่ดึงดูดสิ่งของทุกสิ่ง นอกจากนั้นเขายังได้ยืนยันว่าปรากฎการณ์นี้ใช่จะมีผลต่อทุกสิ่งบนโลกนี้เท่านั้นแต่ยังมีผลต่อเทห์ฟากฟ้าต่าง ๆ ด้วย ผลก็คือดวงอาทิตย์ดึงดูดโลกและโลกก็ดึงดูดดวงอาทิตย์ (แต่ด้วยแรงที่น้อยกว่า) และการที่โลกไม่ถูกดึงดูดจมหายเข้าไปในดวงอาทิตย์ก็เพราะว่ามีแรงอีกแรงหนึ่ง (ที่เกิดขึ้น้เนื่องจากการเคลื่อนที่ของตัวเอง) คอยต้านไว้ จุดที่แรงทั้งสองมีขนาดเท่ากันซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องก่อให้เกิดเป็นวิถีโคจร (trajectory) ของโลก (วงโคจรของโลก -the Erath's orbit) รอบดวงอาทิตย์ สำหรับการเกิดวงโคจรของดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ก็อยู่ในลักษณะเช่นเดียวกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น